ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

เวรระงับ

๑๕ ส.ค. ๒๕๕๘

เวรระงับ

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๘

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

 

ถาม : เรื่อง “การปรับเปลี่ยนหาอุบายในการภาวนา

กราบหลวงพ่อครับ ผมเคยขอคําแนะนําหลวงพ่อเรื่องคําหยาบที่เกิดในใจเวลาคิดถึงพระรัตนตรัย หลังจากทําตามคําหลวงพ่อแนะนํา รวมถึงพยายามย้อนขอขมาเรื่อยมา เวลาคิดได้ทุกวันนี้แทบไม่เกิดขึ้นแล้วครับ ขอกราบขอบพระคุณหลวงพ่อมากๆ ครับในความเมตตาครั้งนี้ ขอบคุณมากๆ ครับ

ทุกวันนี้ถ้ามีเวลาก็ฝึกหัดนั่งสมาธิ กําหนดพุทโธมาโดยตลอดครับ ชีวิตดีขึ้นมาก ไม่ทุกข์เหมือนแต่ก่อน เหมือนมีหลักยึดในใจ ไม่ค่อยเชื่ออะไรใครง่ายๆ(เมื่อก่อนใครพูดอะไรก็เชื่อเขาไปหมดคําถามด้านล่างนี้เป็นคําถามเกี่ยวกับการภาวนาของผมครับ

ทุกวันนี้หลังจากฝึกมาได้สักพักก็เริ่มดีขึ้นมากครับ จากเมื่อก่อนทั้งวูบหลับทั้งคิดฟุ้งซ่าน จับจุดไม่ได้ สติไม่ดีเลย แต่ตอนนี้สติดีขึ้นมากแล้วครับ ตอนนี้มีกําลังใจในการปฏิบัติขึ้นมาก เพราะว่าตั้งใจว่าทําเพื่อบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งพอทําแบบนี้ดีกว่าแต่ก่อนครับ เพราะแต่ก่อนก็หวังแต่ว่า เมื่อไหร่จะได้ผลที่ทํามาบ้าง เมื่อไหร่จะสงบบ้าง

การปฏิบัติในปัจจุบันของผมนี้ มีอยู่วันหนึ่งผมเริ่มสังเกตเห็นว่า เวลาแผ่เมตตา ซึ่งทําหลังจากฝึกปฏิบัตินั่งสมาธิแล้วรู้สึกว่าจิตใจมีสติ มีสมาธิดีกว่ากําหนดพุทโธ (พร้อมลมหายใจวันต่อมาลองพยายามกําหนดให้เพ่งไปที่คําบริกรรมให้ได้เหมือนแผ่เมตตา แต่ก็ทําแล้วเหมือนไปไม่ถูก รู้สึกว่ามันไม่ชัดและไม่นิ่งเท่าตอนแผ่เมตตาเลย บวกกับมีคําถามในใจว่า การแผ่จงใจแบบนี้มันคือสิ่งเดียวกับการใช้เพ่งกําหนดพุทโธหรือเปล่าครับ ถ้าใช่ ผมจะตั้งใจจดจ่อกับพุทโธให้มากๆ ซึ่งพอผลออกมาก็ยังกําหนดได้ไม่ดี รู้สึกว่าพุทโธไม่ชัด เลยเปลี่ยนมาลองพุทโธอย่างเดียวเร็วๆ ติดกัน พอทําให้ดีขึ้น มีสติ สมาธิรับรู้อารมณ์ได้ชัดเจนครับ เลยถืออาการกําหนดพุทโธเร็วๆ มาใช้ แต่พอบางครั้งต่อมาผลปรากฏว่าไม่ได้ผลดังเดิม เหมือนมันไม่ใช่ของใหม่ เลยนึกคําหลวงพ่อที่ว่ากิเลสมันฉลาด ต้องหาอุบายหลอกมันอยู่ตลอดเวลา ผมเลยขอความเมตตาหลวงพ่อช่วยแนะอุบายด้วยครับ

ตอบ : อันนี้เริ่มต้นอารัมภบทก่อน อารัมภบทว่าเมื่อก่อนเวลามันมีคําหยาบเวลาคิดถึงพระรัตนตรัย คิดถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มันมีคําหยาบในใจของเรา ถ้ามีคําหยาบในใจของเรา ทั้งๆ ที่เราเป็นชาวพุทธนะ เราเป็นชาวพุทธเรานับถือพระพุทธศาสนา เราอยากจะประพฤติปฏิบัติ แต่เวลาจิตมันมีความรู้สึกออกมา มันมีความคิด ถ้ามีความคิดขึ้นมา สิ่งนี้มันสุดวิสัย ถ้าคนสุดวิสัยแล้ว ถ้ามันไม่มีสติปัญญา มันก็ไปตีโพยตีพายกับความคิดของตัว

คือคนเรามันเหมือนกับทําความสะอาดบ้าน ถ้าบ้านสกปรกก็อยากทําให้สะอาดเลย ถ้าทําความสะอาดบ้าน เราถูเราเช็ด มันก็สะอาดไป แต่จิตใจมันไม่เป็นอย่างนั้นน่ะ จิตใจมันเป็นอารมณ์ เห็นไหม อารมณ์มันเกิดมามันไม่มีที่มาที่ไปมันจรมา เวลาขึ้นมานี่ แล้วคําหยาบมันก็มาอย่างนั้นตลอดเวลา อันนี้มันเกิดจากเวรจากกรรม

ฉะนั้น เวลาจากเวรจากกรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเอง เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ฉะนั้น เวรกรรมมันเป็นวิบาก คือเป็นผลที่เราได้ทํามา ฉะนั้น เวลาทํามา แล้วจะแก้อย่างไรล่ะ เพราะมันเป็นอดีต มันเป็นอดีตที่มันผ่านมา เราจะไปแก้อย่างไร

ถ้าเราจะแก้ได้ ตอนนี้เป็นวิบากใช่ไหม เราสํานึกผิด เราถึงให้ขอขมาลาโทษไง การขอขมาลาโทษ เวรระงับด้วยการไม่จองเวร ถ้าเราขอขมาลาโทษ ถ้าเวรมันระงับ เวรมันระงับเพราะอะไร เพราะเราไม่ไปเดือดร้อนไง

เวลาสิ่งที่มันเกิดขึ้น เห็นไหม ทั้งเดือดร้อน ทั้งอึดอัด ทั้งขัดข้อง แล้วมันก็เห็นว่าทําไมนิสัยเราเป็นอย่างนี้ล่ะ เราเองเราก็ตั้งใจจริง เราเองก็ทําคุณงามความดีทําไมมันผุดขึ้นมา ความคิดมันผุดขึ้นมาได้อย่างไรล่ะ

มันเป็นวิบากไง เป็นวิบากขึ้นมา มันก็เหมือนกับแมลงวันมันชอบตอมของเหม็นน่ะ เวลามันคิดอย่างนี้มันเป็นเพราะอะไรๆ ยิ่งคิดมันก็ยิ่งมีมากขึ้น ยิ่งคิดมันก็ยิ่งชัดเจนขึ้น เหมือนเป็นแผล ยิ่งแกะ เลือดมันก็ออก มีแผลก็ทั้งเกาทั้งแกะเดี๋ยวเลือดซิบๆ ทุกที ทีนี้ความคิดขึ้นมา เราก็คิดตาม

แต่ถ้าเรามีครูบาอาจารย์ที่ดี เห็นไหม ขอขมาลาโทษซะ เราสํานึกผิด เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ถ้ามันระงับไง มันระงับไปเพราะเราสํานึกแล้ว เราเข้าใจแล้ว เราขอขมาลาโทษ ถ้าขอขมาลาโทษ เขาบอกว่าเขามีความสุขมากเลยจากที่เมื่อก่อน เมื่อก่อนเราไม่มีที่พึ่งไง เราไม่มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นแก้วสารพัดนึก เราก็คิดของเราเอง ความคิดที่มันเจ็บชํ้านํ้าใจ เราคิดว่าเป็นบาดแผล เราจะทําให้มันหาย ก็ยิ่งไปคุ้ยไปเขี่ยมันก็ยิ่งมีเลือดซิบๆ

แต่ถ้าเรารักษาแผลของเรา เห็นไหม เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ไม่จองเวรไม่จองกรรม สิ่งนี้มันผิดพลาดมาแล้ว เราขอขมาลาโทษ นี่จบเลย

เขาบอกว่า เดี๋ยวนี้มีความสุขมาก ชีวิตนี้ไม่ทุกข์เหมือนแต่ก่อน

แต่ก่อนทุกข์มาก เราอยากไปทางหนึ่งไง เราอยากจะไปที่ดี เราอยากไปที่เราพอใจไง ทําไมความคิดมันลากเราไปทางนี้ล่ะ ความคิดเราลากไปทางนี้ เราก็ไม่อยากไป แล้วเราก็แก้ไม่ถูก ถ้าเราแก้ถูก วางซะ แล้ววาง วางด้วยอะไร มันไม่มีเหตุมีผลจะไปวางได้อย่างไรล่ะ

เราจะวางเราก็วาง จะเข้าไปสู่รัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มันเกิดคําหยาบขึ้นมา มันต่อต้านขึ้นมา เราก็ขอขมาลาโทษ เราขอขมาลาโทษพระพุทธพระธรรม พระสงฆ์เหมือนกัน เราขอขมาลาโทษ เราเห็นภัยมัน เดี๋ยวนี้หูตาสว่างแล้ว เมื่อก่อนยังเข้าใจผิดอยู่ ก็เพ่งโทษไปเรื่อย แต่ตอนนี้มันหูตาสว่างแล้วก็จบคนเรามีความผิดพลาดได้ ถ้าผิดพลาดได้มันก็จบ

เขาบอกชีวิตนี้ดีขึ้น ไม่ทุกข์เหมือนแต่ก่อน

ถ้าไม่ทุกข์เหมือนแต่ก่อน แล้วเวลามาประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน เวลาเราปฏิบัติกัน เราก็อยากจะได้มรรคได้ผล เราอยากจะได้ ความอยากอย่างนี้กิเลสมันเร่าร้อน ความอยากก็คือกิเลสไง โดยอภิธรรมเขาบอกว่าต้องปฏิบัติด้วยความไม่อยากไง

เราอยากโดยจิตใต้สํานึก อยากโดยมีเป้าหมายไง อธิษฐานบารมี เป้าหมายที่เราจะก้าวเดินไป แต่เป้าหมายที่ยังไม่ถึงเป้าหมายนั้น เราก็ปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุไง เราตักนํ้าใส่ตุ่ม เรารักษาของเรา มันต้องเต็มตุ่มแน่นอน ถ้าเราตักนํ้าใส่ตุ่มโดยตุ่มมันไม่รั่วนะ

นี่ก็เหมือนกัน เรากําหนดพุทโธ เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ เราทําเหตุผลของเรา ถ้าเหตุผลมันถึงที่สุดของมัน มันต้องสงบของมันได้ เหตุผลที่มันทําได้มันต้องเป็นความจริงได้

แต่ของเราไม่อย่างนั้น ตักนํ้าไปขันหนึ่ง เมื่อไหร่จะเต็มสักที ไปสองขัน เปิดแต่ฝาโอ่ง จะดูแต่นํ้าเต็มน่ะ แต่มันไม่ขวนขวายตักนํ้าใส่ตุ่มเลย เปิดแต่ฝาโอ่งการเปิดฝาโอ่งก็เหนื่อยนะ ตักนํ้าใส่ตุ่มดีกว่า นี่ก็เหมือนกัน เราพุทโธๆ ของเราไป

เขาบอกว่า พอปฏิบัติแล้วมันทุกข์มันยากตลอดเลย เพราะมันฟุ้งมันซ่านตัดสินใจเลย ปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตัดสินใจเลยนะ ปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตักนํ้าใส่ตุ่ม หน้าที่ตักนํ้าใส่ตุ่ม ตักนํ้าใส่ตุ่ม นํ้าต้องเต็มตุ่ม พอมันเต็มตุ่ม เลยปฏิบัติสบาย

นี่ปฏิบัตินะ ปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เราได้ เราได้เพราะอะไร เราได้สติ เรามีสัมปชัญญะ เราทําสิ่งใดไม่มีความผิดพลาด เพราะเราเป็นนักปฏิบัติ พอนักปฏิบัติมันมีสติสัมปชัญญะ มันเหยียดมันคู้ มันก้าวเดินมีสติพร้อม มันได้อยู่แล้ว

แต่นี่มันไม่คิดอย่างนั้นนะ ปฏิบัติแล้วอยากจะได้มรรคผลนิพพาน อยากจะให้นํ้าเต็มตุ่ม สองขันให้เต็มตุ่ม อู๋ยอีกเยอะ สองขันจะเต็มตุ่มได้อย่างไร

ตักนํ้าใส่ตุ่มไปเรื่อย ปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วสบายใจ เห็นไหม เขาบอกว่าเดี๋ยวนี้เขาสบายใจ สบายใจมาก ปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วดีด้วย ชีวิตก็ดีขึ้น ทุกอย่างดีขึ้น เห็นไหม

ปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันได้อยู่แล้ว แต่โดยจิตใต้สํานึกของเราเวลาปฏิบัติแล้ว จะได้ไอ้นั่น จะได้ไอ้นี่

คําว่า “จะได้” แต่มันไม่ได้ ไอ้คนที่ไม่ได้ล่ะได้ เห็นไหม เพราะเราเสียสละไปเราถึงได้ เราเสียสละอารมณ์ไง เสียสละความตระหนี่ถี่เหนียวไง เสียสละกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจออกไปไง แล้วเสียสละ ถ้าเสียสละโดยทางโลกสรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง พอมันมีแล้วมันก็เปลี่ยนแปลง เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย พอคิดร้าย เดี๋ยวคิดดี เดี๋ยวก็คิดร้าย คิดอยู่อย่างนั้นน่ะ มันเปลี่ยนแปลง มันเปลี่ยนแปลงนี่เสียสละหรือ ไอ้นี่มันเป็นธรรมชาติของมัน มันเป็นธรรมชาติของมันมันเป็นอนิจจัง มันแปรสภาพอยู่อย่างนี้

แต่เวลาทําความสงบของใจเข้ามา ใจมันสงบแล้ว เราเข้าไปพิจารณา นี่มันเป็นไตรลักษณ์ มันไม่ใช่อนิจจัง มันเป็นไตรลักษณ์ มันเป็นโดยสัจจะความจริงโดยสติ โดยศีล สมาธิ ปัญญาของเรา ถ้ามันสํารอกมันคายออกไป มันรู้เท่า อันนั้นมันถึงจะเป็นความจริงขึ้นมา ไม่ใช่ว่า เวลามันเป็นอนิจจัง มันคิดดีคิดร้าย คิดของมันอยู่อย่างนั้น ถ้าคิดอย่างนั้นน่ะ เราปฏิบัติของเรา มันมีสติสัมปชัญญะ ถ้าพูดถึงปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปฏิบัติโดยที่ไม่ให้กิเลสมันหลอกไง

เวลาปฏิบัติ กิเลสตัณหาความทะยานอยากก็ซ้อนมา ทําครบสูตรไง เหมือนทําเลข เวลาทําเสร็จแล้วต้องตอบโจทย์แล้วก็จบ

นี่ก็เหมือนกัน ภาวนาอย่างไร นั่งอย่างไร คิดแต่อย่างนั้นน่ะ แต่เขาไม่ได้คิดเลยว่าเราจะเอาชนะตัวเราเองนะ เราเอาชนะอุปาทาน อุปาทานความยึดมั่นถือมั่นในใจเราจะชนะมันให้ได้ ถ้าชนะมันได้ มันก็เป็นความจริงได้

ฉะนั้น เวลาที่ปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ถูกต้อง ปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าสติสัมปชัญญะมันมาแล้ว ทีนี้มันเป็นมรรคของเราแล้ว ถ้าเป็นมรรคของเรานะ พอมันเข้าไปเป็นจริง มันจะเป็นจริงเพราะอะไร เพราะเขาบอกว่า เวลาบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันดีขึ้นเวลาจิตมันดีขึ้น เห็นไหม เริ่มต้นมาตั้งแต่ขอขมาลาโทษพระรัตนตรัย จิตก็ดีขึ้นเวลาปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จิตก็ดีขึ้น แต่เวลาทําไปมันก็เผลอจนได้ นี่เวลาทําไป พอสังเกตเห็นว่าจิตมันสงบแล้ว พอแผ่เมตตาไป โอ้โฮมันดีมากเลย แต่เวลามันกําหนดพุทโธนี่มันชัดเจน

กิเลสนะ เวลามันเผลอ มันทําให้เราอบอุ่น เราก็ดีอยู่พักหนึ่ง เวลากิเลสมันตื่นขึ้นมา เอาอีกแล้ว พลิกไปพลิกมาไง ถ้าพลิกไปพลิกมา เห็นไหม เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร เราก็เห็นแล้ว แต่นี่เราจะไปจองเวรจองกรรมกับใครอีกล่ะ เราไปจองเวรจองกรรมกับธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม เราปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาปฏิบัติตามความเป็นจริง ถ้ามันเกิดมรรคของเรา ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล ถ้าใจไม่เป็นมรรคเป็นมรรค ถ้าจิตมันสงบแล้ว ถ้ามันรู้เห็นของมัน มันก็เป็นปัจจุบันของมัน

ไอ้นี่มันไม่เป็นปัจจุบันไง จิตใจของเรามันยังไม่ตั้งมั่น จิตใจของเรายังไม่มั่นคงพอ ถ้าจิตเราไม่มั่นคงพอ เรากลับมา กลับมาที่พุทโธ กลับมาที่ปัญญาอบรมสมาธิ ที่พอมันกําหนดพุทโธ แล้วบอกว่า พอเราแผ่เมตตา พอแผ่เมตตา จิตมันเป็น

คนเรานะ เวลาเขาสอนให้นั่งภาวนา ภาวนาจิตสงบแล้วแผ่เมตตา เราแผ่เมตตาไป มันจะได้ผลตอบสนองทับทวีคูณ แต่เราแผ่เมตตา เราแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศล อุทิศส่วนกุศลโดยจิตของเรา โดยจิตของปุถุชนมันก็ได้ผลเท่านี้ แต่ถ้าเราทําจิตของเราให้ดีขึ้น เราอุทิศส่วนกุศลไป บุญกุศลมันจะกว้างไกลมากเลย

ฉะนั้น เวลาเราภาวนาไป ภาวนาพุทโธๆ จิตมันสงบแล้วไปแผ่เมตตา มันก็มีความสุขไง บอกการแผ่เมตตานั้นมันก็มาจากคําบริกรรมนั่นแหละ การแผ่เมตตามันก็มาจากสมาธินั่นแหละ ถ้ามันมาจากสมาธิ แต่เราไปแผ่เมตตาแล้ว เห็นไหมเหมือนเราทํางานมาเต็มที่เลย จนสุดท้ายแล้วงานจะจบ เราก็ไปมองตรงที่งานมันจะจบ แต่ก่อนที่เราหาข้อมูลมา เราไม่ได้คิดถึงตรงนั้นเลยหรือ พอแผ่เมตตาแล้วมันดี ทีนี้ก็เลยคิดแต่จะแผ่เมตตา พุทโธก็ไม่เอา มันจะไปแผ่เมตตา

การแผ่เมตตาเพราะจิตเรามันดีแล้ว จิตเราสงบแล้ว พอแผ่เมตตาไปมันก็ได้ผลไง

แล้วจะได้ผลอย่างนั้นอีก บอกจะได้ผลอย่างนั้นอีก ก็เลยไปคาดการณ์ พอคาดหมาย มันก็อันเดียวกับปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นแหละเพราะเวลาบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กิเลสมันเข้ามาครอบงําไม่ได้เราก็สบายใจ ชีวิตนี้มีความสุข ชีวิตนี้มีความพอใจ ถ้าไม่บูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันจะเอาเอง มันจะเอาเอง มันหาไม่เจอ เอาไม่ได้ แต่เวลาบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กลายเป็นดีงามไปหมดเลย ทุกอย่างดีงามไปหมดเลย

นี่ก็เหมือนกัน เวลาไปแผ่เมตตาแล้ว จะเอาแล้ว ทีนี้เอาแล้ว เพราะแผ่เมตตามันดีกว่าพุทโธ เขาว่านะ ว่าแผ่เมตตาแล้วจิตมันดีมากเลย เวลาพุทโธแล้วมันยังไม่ชัด พุทโธไม่ดี

กิเลสมันก็คือกิเลสนั่นแหละ แต่มันเปลี่ยนแง่มุมมาหลอกเรา มันเล่นแง่เล่นมุมมา แล้วเราก็ล้มลุกคลุกคลาน

นี่เขาบอกว่า ผลของการกําหนดนะ กําหนดพุทโธมันไม่ชัด มันเลยเปลี่ยนมาลองพุทโธเร็วๆ ขึ้น

จะเร็วขึ้น จะอะไรขึ้น มันเปลี่ยนมาอย่างนี้

เขาบอกไง สิ่งที่เขาทําเร็วขึ้นแล้ว ทุกอย่างทําดีขึ้น

ถ้าเร็วขึ้นก็เพื่อหลบหลีกมัน ฉะนั้น พยายามรักษาไว้ รักษาสิ่งที่ว่า เราทําของเรา รักษาไว้ ประสบการณ์ ถ้ามีประสบการณ์ เห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์ท่านบอกเลย หลวงตาท่านพูดเอง เวลาการปฏิบัติมันมียากอยู่  คราว คราวหนึ่งคือคราวเริ่มต้น กับคราวหนึ่งคราวถึงที่สุด

เวลาปฏิบัติมันยากอยู่  คราว ถ้าเริ่มต้น พอมันเข้าทางได้เขาเรียกภาวนาเป็น ทีนี้มันไปแล้ว มันพยายามขวนขวายไป มันจะไป แต่เวลาจะเข้ามาให้มันถูกทาง เวลาถูกทาง ดูถ้าอ่านประวัติหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เริ่มต้น อู้ฮูล้มลุกคลุกคลานเลย ถึงจะมีครูบาอาจารย์อย่างไร แต่เราทําไม่ได้ เราทําไม่ได้ เหมือนกับเราฝึกงาน เราทํางาน เริ่มต้นถ้าทํางานไม่เป็น ทํางานไม่ถนัด แต่พอทํางานเป็นไปแล้วนะ ไปได้แล้ว ถึงมันจะขาดตกบกพร่องบ้าง แต่มันก็ไปได้ ไปได้

นี่ก็เหมือนกัน มันภาวนาจนจุดเริ่มต้น ยากตอนเริ่มต้นนี่หญ้าปากคอก หญ้าปากคอก เราไม่รู้ช่องทางไหน เราจะไปช่องทางไหน แล้วจะไปอย่างไร ถ้าช่องทางไหน ทีนี้เราก็หาช่องทางของเรา อย่างเช่นเราพยายามมุมานะของเรา ทําไม่ได้ เราถอยกลับมา เวลาขอขมาลาโทษแล้วจิตก็ดีขึ้น เวลาปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็ดีขึ้น

ตอนที่ดีขึ้น ดีขึ้น หมายถึงว่า มันไม่มีวิตกกังวล ไม่มีสิ่งใดในใจ มันปลอดโปร่ง มันโล่งโถงเลย แล้วปฏิบัติแล้วมันดีไปหมดเลย ดีไปหมดเพราะอะไร เพราะจิตมันเข้มแข็ง จิตมีสติปัญญาขึ้นมา กิเลสมันครอบงําไม่ได้ มันก็มีความสุขไง แต่นี่พอมีความสุขแล้ว เราก็จงใจแล้ว มันก็มีที่ว่าแผ่เมตตานี่มาล่อ

การแผ่เมตตานี่ถูกต้องนะ ไม่ผิดหรอก แต่แผ่เมตตาไปแล้ว เพราะแผ่เมตตาเพราะมาจากเราปฏิบัติแล้วเราถึงแผ่เมตตา พอแผ่เมตตา ดูสิ ฟุตบอล กองหลังเขาเลี้ยงบอลขึ้นมาส่งกองกลาง กองกลางส่งมากองหน้า กองหน้ายิงประตู ตูมกองหน้าเก่ง แล้วกองกลางกองหลังไม่เกี่ยวเลยหรือ แล้วกองหน้ามันไม่เอาลูกมาส่ง มันจะเอาลูกอะไรไปยิงเขาล่ะ

นี่ก็เหมือนกัน จะแผ่เมตตา มันมาจากไหน มันก็มาจากที่เราภาวนามาแล้วไงแต่เราก็ไปติดใจตรงยิงได้ประตูนั่นน่ะ ไปติดใจตอนแผ่เมตตา ดูกิเลสมันหลอกไง

ฉะนั้น ทําของเรา กลับมาที่พุทโธ กลับมาที่ปัญญาอบรมสมาธิ การแผ่เมตตาก็คือการแผ่เมตตา แต่พอแผ่เมตตาแล้ว แหมจิตมันดีมาก จิตมันเป็นสมาธิ มันว่าง มันเวิ้งว้างไปหมดเลย เวลามันดูลมหายใจแล้วมันไม่ดีเลย

ดูลมหายใจนั่นน่ะมันตั้งแต่กองหลัง มันต้องลําเลียงบอลขึ้นมา มันก็ส่งขึ้นไปเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป มันเป็นชั้นเป็นตอน มรรคไง สติ สมาธิ ปัญญา มันเป็นมรรคเป็นผลขึ้นมา มันต้องมีที่มาที่ไป มันไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ มันจะโผล่มาเลย ไม่มีหรอก มันต้องมีที่มาที่ไป แล้วที่มาที่ไปมันมาจากหัวใจของเราไง

หัวใจของเราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แล้วเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมามีศักยภาพ แต่กิเลสมันครอบงํา มันก็ใช้ชีวิตสุรุ่ยสุร่ายไป ใช้ชีวิตทางโลกไป ชีวิตทางโลก เราก็ดูแลรักษา แต่เราก็ต้องหาอัตตสมบัติ คือหาความสุขจริงในใจของเรา ถ้ามีความสุขจริงในใจของเรา เช่น ครอบครัว โอ้โฮในครอบครัวทุกคนมีความสุขหมดเลย โอ้โฮครอบครัวนั้นมีความร่มเย็นมากเลย ใครคนหนึ่งมีอุปสรรคมานี่เอาแล้ว เป็นอะไรๆ ประชุมๆ กระเทือนกันไปหมด มันกระเทือนไปหมด

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราปฏิบัติมาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา มีเหตุมีผลขึ้นมา เราทําของเราขึ้นไป ฉะนั้น สิ่งที่ว่า ถ้ากําหนดแล้วเราเปลี่ยนมาพุทโธชัดๆ เราพุทโธเพื่อจะฟื้นขึ้นมา มันเป็นอย่างนี้ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เรารักษาเหตุของเราให้ดี ถ้ารักษาเหตุของเราดีนะ เราจะได้เหตุของเรา ถ้าเรารักษาของเราไม่ดีไง ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เหตุมันไม่ดี เหตุมันไม่ดีมันก็ผิดพลาดไปกับมัน

ถ้าทําได้จริง เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร มันเป็นประโยชน์กับเราทั้งนั้นน่ะ อันนี้มันเป็นประโยชน์ ปฏิบัติแล้วได้ผลนะ

แล้วฟังอันนี้ อันนี้ปฏิบัติแล้วไม่ได้ผลน่ะสิ

ถาม : เรื่อง “เคยภาวนาแล้วจิตสงบมาก แต่ปัจจุบันนี้จิตใจมันฟุ้งซ่านมากเลยค่ะ

แต่ก่อนภาวนาเคยจิตสงบมาก สงบจนเห็นนิมิตเป็นแสงสว่างที่สว่างมากเหมือนมีดวงอาทิตย์มาส่องตรงหน้า นิมิตปรากฏชัดเจนมาก เหมือนเห็นได้ด้วยตาเนื้อ ทั้งที่ขณะนั้นยังหลับตาภาวนาอยู่ ความรู้สึกว่ามีร่างกายหายหมด หลังจากที่เห็นนิมิตแบบนี้ จิตก็สงบง่ายมาก บริกรรมพุทโธเพียงไม่กี่ครั้ง จิตก็สงบลงเป็นเช่นนี้อยู่  เดือน หลังจากนั้น จิตก็ฟุ้งมากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ก่อนไม่ภาวนาก็ไม่เคยฟุ้งจนทรมานขนาดนี้ เวลาเจอสิ่งที่กระทบที่ทําให้โกรธจะโกรธแรงมาก แรงจนอยากจะเดินเข้าไปทําร้ายเขา ปกติเป็นคนโทสะแรงอยู่แล้ว แต่ไม่เคยแรงขนาดที่คิดอยากจะทําร้ายคนอื่น บางครั้งเพียงแค่คําพูดเล็กน้อยก็ขัดใจในใจกลับโกรธจนร้อนเป็นไฟ ควบคุมตัวเองแทบไม่ได้ ตอนนี้มองตัวเองเหมือนคนบ้าเลยค่ะ รู้อยู่ว่าทําแบบนี้ไม่ดี จะควบคุมตัวเองไม่ให้ทําไม่ค่อยได้เลยพยายามพุทโธเร็วๆ ก็เหมือนจิตไม่ค่อยรับเลย เวลาหลับตาขณะโกรธจะเห็นจิตนี้หมุนเร็วมาก

อยากจะกราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า ควรจะทําอย่างไรให้ความฟุ้งซ่านพวกนี้หายไป ให้จิตกลับมาเป็นปกติเช่นเดิม เพราะรู้สึกทุกข์กว่าตอนที่ยังไม่ภาวนามากค่ะ ทนกับอารมณ์แบบนี้มาเกือบ  ปีแล้ว ถ้าไม่มีวิธีอื่นแก้ไขนอกจากคําบริกรรมพุทโธ อาการฟุ้งซ่านแบบนี้จะอยู่กับเรานานเท่าไรคะ ถามเพื่อเป็นกําลังใจในการภาวนาค่ะ คิดว่าถ้ารออย่างมีกรอบเวลา ความทุกข์ทรมานในใจจะน้อยลงกว่าเดิม

ตอบ : เวลามันโทสะนะ พุทโธก็คือพุทโธ ดูสิ เวลาเขาถนอมอาหาร เขาต้องถนอมด้วยเกลือ เกลือนี่ถนอมอาหารได้แทบทุกอย่างเลย พุทโธ สติปัญญาเหมือนกับถนอมหัวใจนี้ไว้ แต่ขณะที่ของที่มันยังไม่ได้หมักเกลือ ของมันจะเน่ามันจะเสีย

หัวใจก็เหมือนกัน หัวใจเวลาที่มันฟุ้งมันซ่าน เวลามันมีสติปัญญาขึ้นมาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศีล สมาธิ ปัญญา เหมือนเกลือ รักษาหัวใจของเราไว้ ถ้าจิตใจมันดีขึ้น เมื่อก่อนภาวนา เห็นไหม แต่เวลาภาวนามาแล้วของที่มันหมักไม่ได้ ของดอง ถ้าดองไม่ถึงเกลือ มันจะเน่ามันจะเสีย

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราภาวนาไปแล้ว สิ่งที่เราเคยภาวนาได้มันก็จบไปแล้วมันก็จบไปแล้วไง สิ่งที่ภาวนาได้ก็คือภาวนาได้ แต่ปัจจุบันนี้มันโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเลย มันโกรธแล้วมันทุกข์มาก

มันทุกข์มากก็วาง มันโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ย้อนกลับมา มันต้องใช้ปัญญาเวลาปัญญาที่มันโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เราถามสิว่า คนที่เราโกรธเขามันเป็นคนหรือเปล่า คนที่เราโกรธเขานี่เป็นคนหรือเปล่า แล้วเราเป็นคนหรือเปล่า ถ้าเราเป็นคน คนไปโกรธคนน่ะ เอ็งบ้าหรือเปล่า ถ้าเราเป็นเขา แล้วเราเป็นเขา เราไปโกรธเขาโดยไม่มีเหตุมีผล มันสมควรไหม มันต้องมีปัญญาไง มีปัญญา

โทสจริตเขาให้แผ่เมตตา ให้เห็นว่าสรรพสิ่งในโลกนี้เขาเป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น นี่ถ้าคิดโดยธรรมนะ ใช้ปัญญาโดยธรรม ให้คิดว่าเขาเป็นเพื่อนมนุษย์ สพฺเพ สตฺตา สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เขาก็เป็นสัตว์มนุษย์เหมือนกัน แล้วไปโกรธเขาเรื่องอะไรล่ะไปโกรธเขาทําไม ทําไมไม่โกรธตัวเราเองล่ะ เราก็เป็นสัตว์มนุษย์คนหนึ่งเหมือนกัน แล้วเรามีสิทธิอะไรไปโกรธเขาล่ะ อ้าวเขาเป็นอะไรกับเรา เขาเป็นอะไรกับเรา เขาทําอะไรผิดพลาดกับเรา เราถึงไปโกรธเขา ถามใจตัว ถามเลย

ถ้ามันถาม ถ้ามันด้วยเหตุผล ถ้าสติปัญญามันทันนะ กิเลสมันอายนะ เวลากิเลสมันอาย เออมึงก็บ้า ถ้าได้ว่ามึงก็บ้าเมื่อไหร่นะ เออค่อยยังชั่ว มันผ่อนคลายเลย

แต่ถ้ามันไม่มีสติปัญญานะ แหมมันเที่ยวจะไปล่อเขานั่นน่ะ จะติฉินนินทาเขา จะโกรธเขา จะทําร้ายเขา แล้วกิเลสมันก็สุมไฟนะ อืมใช่ เรามีศักดิ์ศรี เราเป็นยอดคน อู๋ยถูกต้อง เราทําดีงาม กิเลสมันสุมไฟใส่เลย

แต่ถ้าเป็นธรรมนะ สพฺเพ สตฺตา สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงเป็นสุขๆ เถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย แต่ก็เบียดเบียนแน่นอน เพราะเขาก็มีกิเลส ถ้าไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกันนะ โลกเรานี้จะไม่เร่าร้อนเลยล่ะ โลกเราจะร่มเย็นเป็นสุขนะ

ทําไมโลกเรามันเร่าร้อนขนาดนี้ล่ะ โลกเราเร่าร้อนขนาดนี้เพราะคนเห็นแก่ตัว คนเห็นแก่ตัว แล้วเราใช้สติปัญญาพยายามจะฉกฉวยของคนอื่นเขา ด้วยเล่ห์ด้วยกลทั้งนั้นน่ะ แต่นี่เขาทําอย่างนั้น เขาก็สร้างเวรสร้างกรรมไง

เห็นไหม ปัญหาที่แล้ว เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร เพราะเขาไม่จองเวรจองกรรม เขาขอขมาลาโทษ สิ่งที่ทุกข์ยากในใจของเขามันถึงเบาบางลง แล้วของเราทําไมมันใหญ่โตนักล่ะ ทําไมความโกรธมันรุนแรงนักล่ะ ทําไมความโกรธมันทําร้ายเรารุนแรงขนาดนี้ล่ะ นี่ไง เวรระงับด้วยการไม่จองเวร

ไอ้เราไปจองเวร เห็นไหม เวรยังไม่เกิดเลย เราไปจองเวรเขาเอง เราไปจองเวรเขา เราคิดแต่โกรธแต่เคืองเขา แล้วเวลาเราจะไปจองเวรเขา ผลที่ได้รับ เราเกือบตาย

นี่ไง เขาบอกเลยนะ ตอนนี้ตัวเองเหมือนคนบ้าเลยค่ะ

เรารู้ เห็นไหม เรารู้ เรารู้ว่าเราโกรธเขา เราทุกข์ เรารู้ว่าเราโกรธเขา เลือดสูบฉีดแรง มันไม่มีอะไรดีสักอย่างเลย ทางการแพทย์ ยิ่งโกรธมาก ร่างกายจะมีโรคภัยไข้เจ็บ เพราะอะไร เพราะว่าร่างกายมันทํางานมารุนแรง นี่ทางการแพทย์เขาก็ยืนยันได้ ทางธรรมะเขายิ่งยืนยันได้ใหญ่เลย

ฉะนั้น เวลาถ้าเราประพฤติปฏิบัตินะ มันทําใจได้ยากไง ในเมื่อมนุษย์ด้วยกันมนุษย์ไม่ยอมใครหรอก แต่ถ้ามนุษย์ที่มีคุณธรรม มีคุณธรรมนะ นี่ไง ที่ว่าอย่าดูถูกความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้า พระอริยเจ้าเขารู้ถึงจิตของตัว รู้ถึงความคิดของตัว แล้วรู้ว่าพูดออกไปแล้วมันกระทบกระเทือนสิ่งใด แล้วมันได้ผลหรือไม่ได้ผลไงเขาถึงนิ่งอยู่ไง เขาไม่ใช่นิ่งอยู่ด้วยความโง่หรอก เขาไม่ใช่เหมือนก้อนหินหรอกให้คนนั้นมาเหยียบยํ่า ไม่ใช่ แต่สติปัญญามันทัน คนมีคุณธรรมไง เห็นไหมความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้า เพราะพระอริยเจ้าไม่พยากรณ์ ถ้าไม่มีประโยชน์ ไม่พยากรณ์ ยิ่งพยากรณ์ไปแล้วยิ่งกระทบกระเทือนกันยิ่งไม่พยากรณ์ คือไม่พูดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่พยากรณ์ ไม่พูด ไม่เป็นประโยชน์ไม่พูดเลยจะพูดแต่ที่เป็นประโยชน์

แล้วของเราล่ะ เราเป็นอะไร เราเป็นปุถุชน เราก็มีกิเลสเหมือนกัน ถ้าเรามีกิเลสเหมือนกัน ในเมื่อถ้าเป็นความจริง ธรรมโอสถ เราต้องรักษาหัวใจเราก่อนถ้ารักษาหัวใจเราก่อน คิดแบบนี้ โทสจริตต้องแผ่เมตตา แผ่เมตตา สพฺเพ สตฺตาสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น แล้วคิดดูสิ คิดว่าเขาเป็นญาติเรา เขาเป็นสายเลือดเรา ในสายเลือดมันก็ยังฆ่ากันนะ แต่เราพยายามทํา ถ้าทําอย่างนี้ทําเพื่อใคร

ไม่ใช่ทําเพื่อเขานะ ไม่ได้ทําเพื่อใครเลย ทําเพื่อหัวใจของเราไง ก็หัวใจเรามันทุกข์ นี่เหมือนคนบ้าเลย ถ้าคิดแบบวิทยาศาสตร์ เมื่อก่อน เห็นไหม เมื่อก่อนไม่เคยภาวนาก็เป็นคนดีคนหนึ่ง ช่วยเหลือสังคม พอมาภาวนาขึ้นมา เดี๋ยวนี้เลยกลายเป็นคนบ้าไปเลย เป็นอย่างนั้นหรือ นี่ไง เวลากิเลสมันตลบตะแลง

คนเวลามันดีมันต้องดีเสมอต้นเสมอปลาย เวลาเราช่วยเหลือสังคม เราช่วยเหลือสังคมด้วยเราเห็นว่าเป็นประโยชน์ไง เราทําเพื่อเป็นประโยชน์ของเรา เราช่วยเหลือเขา เราเสียสละเพื่อประโยชน์กับเรา สังคมร่มเย็นเป็นสุข ทุกคนมีความสุขไปหมดเลย ทุกคนมีสติปัญญา ทุกคนหาอยู่หากินได้ ทุกคนทําเพื่อประโยชน์ของตัว สังคมสงบดีงาม แล้วเราอยู่บ้านก็ปลอดภัย

ถ้าสังคมมีแต่ความรุนแรง สังคมมีแต่การทําร้ายกัน เราออกจากบ้านไม่ได้เลย เราจะไปไหนก็ไม่ได้ เราเดือดร้อนกันไปหมดเลย แต่ถ้าเราเสียสละเพื่อความดีของสังคม บ้านเราก็ปลอดภัย ลูกหลานเราต่อไปอนาคตลูกหลานเราก็อยู่ด้วยความร่มเย็นเป็นสุข มันดีไปหมดเลย ถ้าเราคิดได้อย่างนี้ ถ้ามันคิดได้ มันก็เป็นประโยชน์กับเรา แล้วเวลาเป็นประโยชน์กับเรา ประโยชน์กับหัวใจ มันจะไม่เร่าร้อนอย่างนั้น

ฉะนั้นบอกว่า เวลาไม่เคยปฏิบัติก็ไม่ทุกข์ร้อนขนาดนี้ เวลาปฏิบัติแล้วทําไมทุกข์ร้อนขนาดนี้ล่ะ เวลาไม่ปฏิบัติเลย เราก็ไม่รู้ว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูก แต่เวลาพอจะมาปฏิบัติ เห็นไหม นู่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ ผิดไปหมดเลย ก่อนที่มาปฏิบัติ เวลาไม่คิดอะไรก็ทําได้เต็มไม้เต็มมือ พอมาปฏิบัติ ทําอะไรไม่ถูกเลย ก็ค่อยๆ คัด ค่อยๆคัด ค่อยๆ แยก เพราะการปฏิบัติใหม่ คนภาวนาไม่เป็นก็เป็นแบบนี้ คนภาวนาเขาต้องมีครูมีอาจารย์คอยแยกคอยแยะ คอยดูแลเรา ถ้าดูแลเรา มันจะพัฒนาขึ้นมา เห็นไหม

เวลาภาวนาไปแล้วมันไปโทษการภาวนาไง หลวงตาท่านบอกว่า หมาบ้าไปกัดธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่กัดกิเลสเลย ไม่คิดเลยว่าสิ่งที่เกิดมา กิเลสตัณหาความทะยานอยาก เวลาภาวนาไปแล้ว เวลาภาวนาไป ถ้ามันหงุดหงิดๆ หงุดหงิดเพราะเรา เด็กพยายามจับให้มันนั่งนิ่งๆ ไง จิตของเราเหมือนลิง มันใช้อํานาจตามแต่กําลังของมัน แต่เรามีสติปัญญาปั๊บ เราก็ดูแลเราแล้วมันก็ดีขึ้นมา พอดีขึ้นมา เห็นไหม พอดีขึ้นมา เดี๋ยวมันก็เสื่อม

พอเดี๋ยวมันเสื่อม พอเวลามันเล่นของมันโดยธรรมชาติของมัน เราก็ไม่เห็นเป็นโทษเป็นภัย เวลาเราไปกําจัดตัวมันก็จะเป็นโทษเป็นภัย นี่ภาวนาไปแล้วมันหงุดมันหงิด มันทุกอย่าง มันเป็นธรรมดา มันเรื่องธรรมดาทั้งนั้นน่ะ มันเรื่องธรรมดา ธรรมดาเพราะอะไร เพราะเราจะดูแลรักษา มันก็มีแรงต้านเป็นเรื่องธรรมดา

แต่เวลาถ้ามันผ่านไปแล้ว เห็นไหม มันไม่ใช่ว่าเราไปปฏิบัตินะ เพราะปฏิบัติขึ้นมา เมื่อก่อนไม่ปฏิบัติไม่ทุกข์ขนาดนี้เลย เวลาปฏิบัติแล้วกลับมาทุกข์มาก ไปติธรรมะหมดเลย ไม่ติกิเลสของตัวเองเลย

กิเลสในใจตัวสําคัญ กิเลสของเราน่ะ เพราะเราจะกําจัดกิเลสของเรา เราจะดูแลรักษากิเลสของเรา ถ้าเราจะรักษากิเลสของเรา มันต้องดูแลที่นี่ ถ้าดูแลที่นี่ขึ้นมา แล้วเวลาทําขึ้นมาก็เป็นอย่างนี้ นี่แค่พื้นฐานนะ ยังไม่มีหลักเกณฑ์อะไรเลย ถ้ามีหลักเกณฑ์ขึ้นมา ตรงนี้มันจะจบหมด

แล้วพอกําจัดความโกรธได้ เดี๋ยวมันก็ไปโกรธตัวเอง ตอนนี้โกรธคนอื่น เห็นไหม เหมือนคนบ้า

เวลาพอเข้าใจ เห็นไหม สพฺเพ สตฺตา เราอภัยเขาหมดเลย แต่นี่ไม่อภัยให้ตัวเองน่ะสิ ก็มาถมตัวเอง กิเลสนี้มันพลิกแพลงตลอด หลวงปู่มั่นท่านถึงบอกไว้จิตนี้ร้ายนัก เป็นได้หลายหลาก เป็นได้ทุกอย่างเลย ฉะนั้น เราต้องฝึกสติฝึกปัญญา เราต้องมีสติปัญญาของเรา รักษาดูแลของเรา ถ้ามันรักษาดูแลของเราได้มันจะดีขึ้นมา ถ้าดีขึ้นมา

เขาขอไงว่า จะทําอย่างไร ทุกข์ยากมาเป็นปีแล้วนะ ทุกข์ยากกับหัวใจอย่างนี้เป็นปีแล้ว

วาง คําว่า “เป็นปี” มันน่าเห็นใจนะ แล้วเราจะรู้ว่านานแค่ไหนเราถึงจะละสิ่งนี้ได้ คํานี้สําคัญมากเลย แล้วมันจะนานแค่ไหนเราถึงจะละได้ล่ะ

ถ้าอย่างนี้นานตลอดไป เพราะว่าเหมือนนับเวลากัน แต่ถ้าบอกมันเดี๋ยวนี้ไงถ้าวางได้เดี๋ยวนี้ก็จบเดี๋ยวนี้ มันจะนานไปที่ไหน ไอ้นี่มันก็เหมือนเราคิดว่ามันต้องอาศัยเวลาเพื่อจะให้มันจบระงับไป มันจะนานแค่ไหน

ถ้ามันคิดได้เดี๋ยวนี้ คิดได้เดี๋ยวนี้ สพฺเพ สตฺตา สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น คนเรามันก็มีดี มีดีมีเลวในตัวของเขา เราเองเราก็มีดีมีเลวในตัวของเรา ทุกคนเขาก็มีดี มีมุมที่ดีของเขา มุมที่เลวของเขาแล้วเราจะไปเดือดร้อนแทนเขาทําไมล่ะ

หลวงตาท่านสอนบ่อย เรื่องของคนอื่น ไม่ใช่เรื่องของเรา รักษาใจเราดีกว่าทําคุณงามความดีของเรา

แล้วถ้ารักษา อยู่ในสังคมนะ อยู่ในสังคม เราต้องอยู่ในสังคม เราต้องเข้าใจเราต้องมีปัญญา เราต้องเท่าทันคน เราถึงจะมีที่ยืนในสังคมนั้น ถ้าเราเข้าใจสังคมแล้ว เราต้องเข้าใจตัวเราด้วย เข้าใจหัวใจเราด้วยว่าหัวใจยอมรับสิ่งนี้ได้ไหม พยายามฝึกสอนหัวใจเราให้ยอมรับสิ่งนี้

ยอมรับสิ่งนี้ไม่ใช่ว่ายอมรับแล้วเรายอมจํานนกับเขา ยอมรับสิ่งนี้เพื่อเป็นธรรมโอสถรักษาใจเรา รักษาใจเราโดยไม่ต้องมาทุกข์ยากขนาดนี้ไง นี่เราทําเพื่อหัวใจเราทั้งนั้นน่ะ ถ้ามันทําได้มันก็จบที่นี่

แล้วมันจะนานเมื่อไหร่ล่ะ

เดี๋ยวนี้เลย ไม่นานเลย แต่ที่มันนานเมื่อไหร่เพราะอะไร เพราะเราไม่ได้ทําอะไรเลยไง เหมือนคนป่วยไม่มีใครรักษา นอนรอวันหาย แล้วมันจะหายเมื่อไหร่ล่ะ นอนรอวันหายไง แต่ถ้ามีสติมีปัญญา หายเดี๋ยวนี้ ธรรมโอสถเดี๋ยวนี้ก็จบเดี๋ยวนี้ มันจบได้ เพียงแต่ว่าจิตใจคนอ่อนแอ

จิตใจคนอ่อนแอ จิตใจคนไม่เคยทํา มันทําไม่ได้ มันก็เนิ่นนานไป เนิ่นนานไปด้วยกิเลสไง ถ้ากิเลสมันเหยียบยํ่าอยู่ มันจะเนิ่นนานไปมาก แต่ถ้าธรรมะมันโงหัวขึ้นมา จบเดี๋ยวนี้เลย

กิเลสกลัวอย่างเดียวคือกลัวสัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ไม่ใช่ความนึกของเรา เวลาเรานึกคิดขึ้นมา เราคิดว่าเราไบรต์มาก เรามีสติปัญญามาก...กิเลสมันหลอกทั้งนั้นน่ะ เพราะว่ามันเป็นธรรมะหมดอายุที่มันไม่มีคุณธรรมที่สามารถจะยับยั้งกิเลสได้ ไม่มีสติปัญญาสามารถหยุดความคิดตัวเองได้ ไม่มีกําลังของสมาธิพอที่จะเกิดภาวนามยปัญญาได้ กิเลสมันถึงได้หัวเราะเยาะ

นี่ไง มันถึงบอกว่า ไม่ปฏิบัติก็ไม่เห็นทุกข์ยากขนาดนี้เลย แล้วปฏิบัติแล้วทําไมมันทุกข์ยากขนาดนี้ล่ะ

มันทุกข์ยากเพราะเวลาคนหายจากไข้ เขาหายไข้แล้วนะ เขาต้องบํารุงร่างกายเขาเลย เพราะมันซูบผอม เพราะไข้ อาการไข้ นี่ก็เหมือนกัน จิตใจของเรามันมีโรคกิเลสประจําตัวมาตลอด มีอวิชชาในหัวใจมาตลอด แล้วเราจะแก้ไขของเรา จะดูแลหัวใจของเรา ถ้ามันดูแลได้มันก็จบ ถ้ามันทําอย่างนี้ เห็นไหม ทําไปได้พอทําได้มันจะย้อนกลับมาข้อที่ ทุกทีเลย

เพราะข้อที่ เขาก็ทุกข์ยากแบบเรามานี่แหละ เวลาเขาขอขมาลาโทษ เวรระงับหมดเลย มันระงับเพราะอะไรล่ะ ระงับเพราะมีสติปัญญา ทําแล้วมันสมเหตุสมผล มันก็ระงับ นี่สมดุลของมัน มันพอดีของมัน มันก็ระงับ

นี่ก็เหมือนกัน ของเราเหมือนกัน ถ้ามันทุกข์มันยาก เหมือนคนบ้าเลยเหมือนคนบ้าเพราะเราตะครุบแต่เงาข้างนอกไง เมื่อไหร่จะหาย เมื่อไหร่จะดีทําไมคนนู้นมันไม่ดี ทําไมเราดี...อย่างนี้บ้าจนตาย

แต่ถ้ามันมีสติย้อนกลับมาเลย เรื่องของเขา ความดีของเขาก็มีเยอะแยะความผิดพลาดของเขาก็มี ทุกคนก็มีเหมือนกันหมดทั้งนั้นน่ะ เราก็มี ถ้าเราก็มีนะเพราะเรามี เราถึงมาปฏิบัติไง เพราะเรามี เราถึงมาแก้ไขของเราอยู่นี่ไง ถ้าเราแก้ไขเราได้ แก้ไขเราได้ มันก็เป็นสัจจะเป็นความจริงของเราไง ถ้ามันเป็นสัจจะ

นี่ไง เรื่องของเขา ดูแลหัวใจของเราดีกว่า รักษาหัวใจของเราดีกว่า ถ้ารักษาหัวใจของเราได้

แล้วเขาถามนะ อยากถาม ถามเพื่อเป็นกําลังใจในการคิดว่ากรอบเวลาเมื่อไหร่ความทรมานอย่างนี้มันถึงจะน้อยลง ถามไว้เพื่อเป็นกําลังใจไง

ส่งออกหมดนะ ตั้งสติไว้ ตั้งสติไว้ ถ้าพุทโธหรือปัญญาอบรมสมาธิทําแล้วมันไม่มีกําลัง วางไว้ ใช้ปัญญาอย่างที่ว่านี่ ใช้ปัญญาอย่างที่ว่า สพฺเพ สตฺตา ให้มองสรรพสัตว์ทั้งหลายให้เสมอภาคความเป็นมนุษย์ ความดีความชั่ว เวรกรรมของเขาก็เป็นเวรกรรมของเขา เราเกิดมาเราก็มีเวรกรรมของเราใช่ไหม นี่แค่พื้นฐานนะ แล้วเดี๋ยวทําสมาธิ เราจะทําสมาธิ เราจะใช้ปัญญาของเราขึ้นไป เราจะถอดถอนกิเลสของเรา มันยังมีงานให้ทําอีกเยอะแยะเลย งานอย่างนี้มันเป็นงานบรรเทาทุกข์ บรรเทาทุกข์ให้เรามีชีวิตอยู่ บรรเทาทุกข์ให้เราปล่อยวางเป็นของชั่วคราวเท่านั้นน่ะ เราทําของเรา เห็นไหม

เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร นี่คําถามแรกเขาระงับได้แล้ว ของเรานี่เต็มหัวใจเลย แล้วถ้าเราระงับได้ เวรระงับได้ ความทุกข์ในใจก็เบาบางลง ความทุกข์ในใจเบาบางลง แล้วถ้าประพฤติปฏิบัติขึ้นไป มันจะเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมาเป็นความจริงขึ้นมา อัตตสมบัติ อกุปปธรรม ธรรมแท้ๆ หัวใจได้สัมผัส แล้วมันกังวานอยู่กลางหัวใจของเรา สัจธรรมอันนี้เราปรารถนา ทําเพื่อหัวใจของเรา เอวัง